ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์
01 มีนาคม 2543
งบการเงินประจำปี 2542
ก่อสร้างและเงินล่วงหน้าค่าก่อสร้าง มาหักกลบลบหนี้เป็นผลให้บริษัทไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2542 บริษัทย่อยคือ บริษัท ชัยนาท จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดจำนวน 38.03 ล้านบาท เพื่อ
ชำระหนี้ค่าก่อสร้างสุทธิจำนวน 25.54 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุนจำนวน 12.26 ล้านบาท
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง คือ บริษัท ชนชัย จำกัด ได้ทำสัญญาประนีประนอมหรือบันทึกข้อตกลงกับ
เจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง จำนวน 6 ราย เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 46.63 ล้านบาทโดยมีบริษัทและบริษัท
ย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทย่อยชำระเป็นเงินสดจำนวน 20 ล้านบาท และชำระโดย
การโอนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทย่อยจำนวน 1.86 ล้านบาท และบริษัทชำระหนี้แทนบริษัทย่อย จำนวน 20
ล้านบาทโดยเจ้าหนี้ได้นำเงินดังกล่าวมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 4 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท นอกจากนี้ผู้
ค้ำประกันได้โอนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ชำระหนี้แทนบริษัทย่อยจำนวน 2.26 ล้านบาท บริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการ
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้จำนวน 1.10 ล้านบาท เป็นผลให้บริษัทมีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 1.41
ล้านบาท
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง คือ บริษัท ชัยนาท จำกัด ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างราย
หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 2.89 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทชำระเป็นเงินสดจำนวน
1.44 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 1.45 ล้านบาท นำไปชำระหนี้โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าหนี้นำเงินมาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ
บริษัทใหญ่จำนวน 142,758 หุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาท และจำนวน 73,542 หุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 2 รายเกี่ยวกับเรื่อง
การชำระหนี้ค่าก่อสร้าง โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทย่อยตกลงชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2542
โดยชำระเป็นเงินสดจำนวน 12.65 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโครงการบ้านปิยะสาธร เพื่อชำระมูลหนี้จำนวน
38.03 ล้านบาท
หมายเหตุ 15 - การโอนทรัพย์สินชำระหนี้สถาบันการเงิน
บริษัทใหญ่
15.1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 บริษัทในฐานะลูกหนี้ และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะผู้ค้ำประกันได้ทำบันทึก
ข้อตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการชำระเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยค้างจ่ายซึ่ง
มียอดคงเหลือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นจำนวนรวมประมาณ 26.74 ล้านบาท โดยลูกหนี้และผู้ค้ำ
ประกันตกลงชำระเป็นเงินสดจำนวน 1.99 ล้านบาท และชำระโดยที่ดินรอการพัฒนาของผู้ค้ำประกันจำนวน
20.07 ล้านบาท บริษัทมีผลกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 จำนวน 4.68 ล้านบาท
จากการที่บริษัทย่อยดังกล่าวโอนที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยจำนวน 20.07 ล้านบาท ซึ่งมีราคาตามบัญชี
จำนวน 34.51 ล้านบาทนั้น เป็นผลให้บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้ที่มีต่อบริษัทใหญ่
จำนวน 14.44 ล้านบาท
15.2 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 บริษัทได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศแห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 432.72 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน 109.79 ล้านบาท โดย
โอนที่ดินโครงการ ซึ่งมีราคาทุนตามบัญชีประมาณ 702.18 ล้านบาท และบริษัทตกลงขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน
19 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่า 95 ล้านบาท ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อนำเงินจากการจำหน่าย
หุ้นดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ เป็นผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 254.67 ล้านบาท
15.3 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ได้ทำบันทึกข้อตกลงการปรับ
ปรุงโครงสร้างการชำระหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง โดยมีบริษัทย่อยอีก 2 แห่งเป็นผู้จำนองในฐานะผู้ค้ำ
ประกันการชำระหนี้ซึ่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2542 มีหนี้เงินต้นของบริษัทจำนวน 325.30 ล้านบาท และดอกเบี้ย
ค้างจ่ายจำนวน 97.43 ล้านบาทและหนี้เงินต้นของบริษัทย่อยจำนวน 15 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน
3.92 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทเงินทุนดังกล่าวตกลงรับซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทใหญ่
จำนวน 18 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงิน 90 ล้านบาทและบริษัทใหญ่นำเงินค่าหุ้นที่ได้รับมาชำระ
หนี้เงินต้นของบริษัทย่อยจำนวน 15 ล้านบาทและดอกเบี้ยค้างจ่ายถึงวันที่ 31 มีนาคม 2542 จำนวน 2.48 ล้าน
บาท เป็นผลให้บริษัทย่อยมีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 1.44 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปแบ่ง
ชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายของบริษัทสองส่วน คือ ชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายถึง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2542 จำนวน 61.65
ล้านบาท เป็นผลให้บริษัทใหญ่มีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 35.78 ล้านบาทและชำระดอกเบี้ย
ส่วนที่เหลือจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2542 จำนวน 10.87 ล้านบาท โดยสถาบันการเงินได้ขยายระยะเวลาครบ
กำหนดชำระหนี้สำหรับเงินต้นคงเหลือ และลดอัตราดอกเบี้ยลง และสถาบันการเงินดังกล่าวจะทำการประมูล
สิทธิเรียกร้องที่สถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งมีต่อบริษัทภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหากการประมูลเป็นผลสำเร็จ
สถาบันการเงินตกลงรับชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยค้างจ่ายและมูลหนี้ที่ได้มาตามสิทธิเรียกร้อง โดยการรับ
โอนที่ดินรอการพัฒนาของผู้ค้ำประกันที่ได้จำนองเป็นหลักประกัน ซึ่งมีมูลค่าเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น เท่ากับยอด
หนี้ที่บริษัทค้างชำระอยู่ต่อสถาบันการเงินภายใต้เงื่อนไขการซื้อคืนที่ระบุในสัญญาและยินยอมปลดจำนำหุ้น
ของบริษัทที่ลงทุนในบริษัทย่อย 2 แห่ง ซึ่งได้จำนำไว้เป็นหลักประกันให้แก่บริษัทใหญ่ แต่หากสถาบันการเงินไม่
ได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กำหนด บริษัทตกลงให้เงินต้นและดอกเบี้ยค้างจ่ายถึงกำหนดชำระโดย
ทันที
15.4 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 บริษัทและบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ
ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในประเทศ เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้เงินกู้ยืม เงินกู้เบิกเกินบัญชีและดอกเบี้ยของ
บริษัทซึ่งมียอดคงเหลือ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2542 จำนวน 47.26 ล้านบาท และหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีของ
บริษัทย่อยจำนวน 26.50 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญาได้ตกลงโอนที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทเพื่อชำระ
หนี้จำนวน 24.33 ล้านบาท ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยเพื่อชำระหนี้จำนวน 19.42 ล้านบาท จำนำหุ้นของ
บริษัทเงินทุนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทจำนวน 21,000 หุ้น นอกจากนี้บริษัทจะชำระหนี้เป็นจำนวน
30 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าธนาคารต้องนำเงินดังกล่าวมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทใหญ่จำนวน 3,000,000
หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เป็นผลให้บริษัทมีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 16.13 ล้านบาท และ
บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 16.02 ล้านบาท
บริษัทและบริษัทย่อยมีสิทธิซื้อที่ดินที่โอนชำระหนี้คืนได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่โอนชำระหนี้ตามกฎหมาย
เรียบร้อยแล้วในราคา 65.69 ล้านบาท
15.5 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการ
ชำระหนี้เงินกู้ยืมจากธนาคาร โดยธนาคารตกลงโอนสินเชื่อและหลักประกันตามสัญญาให้สินเชื่อเฉพาะในส่วน
ของเงินต้นจำนวนเงิน 187 ล้านบาท พร้อมทั้งสิทธิจำนองที่ดินของโครงการศาลาแดง 748 ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางไว้ และได้รับ
โอนที่ดินโครงการที่ใช้เป็นหลักประกันซึ่งมีราคาทุนของโครงการตามบัญชีประมาณ 349 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้
เงินต้นจำนวนดังกล่าวทำให้บริษัทเกิดผลขาดทุนจากการโอนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อชำระหนี้
จำนวน 162.32 ล้านบาท
ในปี 2541 บริษัทได้โอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์และเฟอร์นิเจอร์บางส่วน
จำนวน 690.64 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ของบริษัทจำนวน 446.12 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุนจำนวน 244.52
ล้านบาท
บริษัทย่อย
15.6 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 บริษัทเงินทุนแห่งหนึ่งในฐานะเจ้าหนี้ได้ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทในฐานะผู้ค้ำ
ประกันและบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ เนื่องจากบริษัทย่อยได้ผิดสัญญากู้ยืมเงิน โดยยอดหนี้ซึ่งเป็นทุน
ทรัพย์ที่ฟ้องจำนวน 29.548 ล้านบาท คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัท
ในฐานะผู้ค้ำประกันและบริษัทย่อยดังกล่าวได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และข้อตกลงการชำระหนี้จำนวนเงินทั้งสิ้น
30.683 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินต้นจำนวน 20 ล้านบาทและดอกเบี้ยค้างจำนวน 10.683 ล้านบาท บริษัทย่อย
ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ในราคาทุน 3.87 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้จำนวน 2.28 ล้านบาท ส่วนที่เหลือชำระ
ด้วยเงินสดจำนวน 20.03 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าเงินสดจำนวน 16.03 ล้านบาท เจ้าหนี้จะนำเงินที่ได้รับดัง
กล่าวมาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 1,603,351 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เป็นผลให้บริษัทย่อยมี
กำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 6.78 ล้านบาท
15.7 ในปี 2541 บริษัทย่อย คือ บริษัท ชนชัย จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและที่ดินรอการพัฒนาบางส่วน รวม
ทั้งสิ้นจำนวน 190.96 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ของบริษัท และของกิจการที่เกี่ยวข้องกันในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำนวนรวม 94.93 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุนจำนวนทั้งสิ้น 96.03 ล้านบาท
หมายเหตุ 16 - หนี้สินระยะยาว
หนี้สินระยะยาว ณ วันที่ 31 ธันวาคม ประกอบด้วย
งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะของบริษัท
2542 2541 2542 2541
บาท บาท บาท บาท
เงินกู้ยืมจากธนาคาร - 413,636,509.93 - 413,636,509.93
เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงิน 338,697,000.00 338,697,000.00 - -
เจ้าหนี้เช่าซื้อ - 458,938.87 - 458,938.87
รวม 338,697,000.00 752,792,448.80 - 414,095,448.80
หัก ส่วนของหนี้สินระยะยาว
ที่ถึงกำหนดภายในหนึ่งปี (338,697,000.00) (752,792,448.80) - (414,095,448.80)
- -
- วงเงินกู้ระยะยาว วงเงิน 753 ล้านบาทจากธนาคาร มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายในปี 2553 โดยมีระยะเวลาการ
ปลอดชำระเงินต้น 3 ปี อัตราดอกเบี้ย MLR+0.5% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านหลังสวน 658 ซึ่งชำระเสร็จ
สิ้นแล้วในปี 2542
บริษัทย่อย
- เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงิน วงเงิน 12 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายในปี 2540 และชำระดอกเบี้ย
ทุกสามเดือนในอัตรา LIBOR+3.5% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเพลินจิต
- เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 275 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน ปี 2541
และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตรา MLR+0.5%ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านสี่ทิศ
- เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 476 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน 12 ปี นับ
แต่วันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยมีระยะเวลาการปลอดชำระเงินต้น 3 ปี และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ใน
อัตรา MLR+1% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการหลังสวน
เจ้าหนี้เช่าซื้อ ได้แก่ เจ้าหนี้การเช่าซื้อยานพาหนะ ซึ่งมีเงื่อนไขชำระหนี้เป็นรายเดือน รวม 36 งวด โดยมียานพาหนะที่
เช่าซื้อเป็นหลักประกันซึ่งชำระเสร็จสิ้นแล้วในปี 2542
ส่วนของหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี แสดงไว้ภายใต้หนี้สินหมุนเวียน
หมายเหตุ 17 - ทุนเรือนหุ้น
บริษัทใหญ่
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 มีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 645,500,000
บาท เป็น 945,500,000 บาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 30 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท รวม 300 ล้านบาท เพื่อ
ทำการเสนอขายทั้งหมดในคราวเดียวหรือหลายคราวต่อผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศคณะ
กรรมการ ก.ล.ต.โดยในส่วนของราคาขายต่อหุ้น วัน เวลา จองซื้อ และชำระเงินค่าหุ้น ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะ
กรรมการ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม
29,280,450 บาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,928,045 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาทให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
แห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สินของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อ
วันที่ 12 มิถุนายน 2541
ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2541 มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 4 ล้านบาท โดยแบ่ง
เป็นหุ้นสามัญจำนวน 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการปรับ
โครงสร้างหนี้ของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2541
ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 5 ล้านบาท โดย
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และเสนอขายหุ้น
เพิ่มทุน จำนวนรวม 1,222,438 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการ
ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียน เพิ่มทุนชำระแล้ว เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2541 ต่อมาเมื่อวันที่
28 สิงหาคม 2541 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 137,023 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2541
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2541 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม
945,500,000 บาท เป็น 697,375,060 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกจำหน่าย จำนวน
24,812,494 หุ้น และมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 697,375,060 บาท เป็น 3,312,991,260 บาท โดยการ
ออกหุ้นใหม่เป็นหุ้นสามัญ จำนวน 261,561,620 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท รวม 2,615,616,200 บาท โดยจัดสรรหุ้น
เพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1. จำนวน 258,074,745 หุ้น เพื่อทำการเสนอขายทั้งหมดหรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่ผู้ลงทุน
โดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายในรอบระยะเวลา 12 เดือน และ / หรือเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุน
ประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. ในกรณีที่หุ้นเหลือจากการเสนอขายดังกล่าวให้เสนอขาย
ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและในกรณีที่ยังคงมีเศษของหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตาม
สัดส่วนอีกให้เสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทโดยในส่วนของวัน เวลา จองซื้อและชำระเงินค่าหุ้น
ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของคณะกรรมการ
2. ส่วนที่เหลือจำนวน 3,486,875 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญ
แสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัด ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนลด
ทุนและเพิ่มทุนแล้ว เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน 16,904,375 บาท
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2542 และจำนวน 205,000 บาท เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2542
นอกจากนี้มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ในราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ คิดเป็นราคาเสนอขาย
หุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่เท่ากับมูลค่าหุ้นละ 5 บาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 250,000 หุ้น ในราคา
หุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,250,000 บาท ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศแห่งหนึ่ง บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่ม
ทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30 ล้านบาทโดยแบ่ง
เป็นหุ้นสามัญ 6 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท ให้แก่นิติบุคคลต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ตามประกาศ
ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 3,312,991,260
บาท เป็น 794,743,810 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกขาย จำนวน 251,824,745 หุ้น และมีมติ
ให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 794,743,810 บาท เป็น 13,294,143,810 บาท โดยการออกหุ้นใหม่
1,249,940,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 478,840,000 หุ้น ซึ่งจะต้องออกในราคา
ที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และหุ้นสามัญจำนวน 771,100,000 หุ้นซึ่ง จะต้องออกในราคาหุ้นละ 5
บาท โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1.1 จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 8,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corperation ในราคา
หุ้นละ 5 บาท
1.2 หุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจำนวน 1,241,940,000 หุ้น ให้ดำเนินการจัดสรรดังนี้
(1) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 478,840,000 หุ้น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นละ 10 บาท
(2) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 763,100,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท
โดยให้จัดสรรหุ้นจำนวนดังกล่าวทั้งหมดคราวเดียว หรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่ผู้ลงทุนประเภท
สถาบันจำนวน 17 ประเภท และ/หรือเสนอขายให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงใด ๆ ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายใน
รอบระยะเวลา 12 เดือน ตามข้อ 2 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอ
อนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่และการอนุญาต และ
(3) ให้คณะกรรมการเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดรายละเอียดในการจัดสรรหุ้น
บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วที่เสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corperation แล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน
2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 41,353,846 หุ้น มูลค่า
หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่
ดังนี้
1. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 19,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ธนาคารแห่งหนึ่งใน
ราคาหุ้นละ 5 บาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 15.2) บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่
28 พฤษภาคม 2542
2. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 4,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ใน
ราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542
3. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 18,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนแห่ง
หนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 15.3) บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อ
วันที่ 17 มิถุนายน 2542
4. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 353,846 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่งใน
ราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 216,300 หุ้น โดยแบ่ง
เป็นหุ้นจำนวน 142,758 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท และหุ้นจำนวน 73,542 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เป็นจำนวนเงิน
ทั้งสิ้น 1,449,210 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงตามประกาศ ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียน
เพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 98,786,000 หุ้น มูลค่า
หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภทตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1. ออกหุ้นจำนวน 90,486,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6 บาท โดยแบ่งออกเป็น
(1) จำนวน 38,236,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน
30,588,800 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 7,647,200 หุ้น) ให้ออกและ
เสนอขายในประเทศไทย และ
(2) จำนวน 52,250,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน
41,800,000 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 10,450,000 หุ้น) ให้ออกและ
เสนอขายนอกประเทศไทย
โดยภายใต้เงื่อนไขการเสนอขายหุ้นตามสัดส่วนนี้ ผู้จองซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะต้องจองซื้อหุ้นในราคา
หุ้นละ 10 บาท จำนวน 2 หุ้น จึงจะมีสิทธิจองซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 8 หุ้น
2. ออกหุ้นจำนวน 8,300,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8 บาท โดยแบ่งออกเป็น
(1) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 3,320,000 หุ้น และ
(2) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,980,000 หุ้น ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 3 บริษัทที่
ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย และนำเงินลงทุนมาจากต่างประเทศ โดยมีผู้ดูแลหรือจัดการเงินลงทุนให้
ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ 17 ประเภท ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 มีมติให้จัดสรรหุ้นที่ออกใหม่ จำนวน 21,200,000 หุ้น
(ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 16,960,000 บาท และหุ้นที่ออกและเสนอขายใน
ราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,240,000 หุ้น) ให้แก่นิติบุคคล 22 ราย ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภท ตาม
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 1,200,000 หุ้น ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรทั้งหมดให้เสนอขาย
ภายนอกประเทศไทย บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 มีมติให้
1. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทดังต่อไปนี้
(1) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,603,351 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายเป็นการ
เฉพาะเจาะจง ให้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 10 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่ม
ทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542
(2) บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่
ธนาคารพาณิชย์ในประเทศแห่งหนึ่ง โดย วัน เวลา จองซื้อ และชำระเงินให้เป็นไปตามดุลยพินิจของ
คณะกรรมการ บริษัทได้เพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2542
2. แก้ไขเพิ่มเติมมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกโดยอาศัยมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันที่ 9
เมษายน 2542 และมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2542 โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 8,779,400 หุ้น
ในราคาหุ้นละ 5 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่
จะซื้อหุ้นให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัดครั้งที่ 2 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว
จำนวน 6,830,000 บาท เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 8,000,000
หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 4/2542 และตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น
ครั้งที่ 1/2542 ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภท ตามประกาศคณะกรรมการก.ล.ต บริษัทได้จดทะเบียน
เพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2543
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 ส่วนเกินมูลค่าหุ้นแสดงสุทธิจากส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายหุ้น
เพิ่มทุนแล้ว
บริษัทย่อย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 และวันที่ 24 ธันวาคม 2541 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้
แมเนจเม้นท์ จำกัด มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ
100 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3 ล้านบาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541
โดยจัดสรรให้บริษัทใหญ่ทั้งจำนวน
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 และวันที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท แสนสิริ พร็อพเพอร์ตี้ พลัส
จำกัด มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 7 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 70,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 10 ล้านบาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 โดย
จัดสรรให้บริษัทใหญ่ทั้งจำนวน
หมายเหตุ 18 - สินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน
1. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของโครงการและที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทใหญ่ได้จดจำนองเป็นหลักประกันเงินกู้
จากบริษัทการเงินและธนาคาร
2. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง,สิทธิการเช่าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ดินรอการพัฒนาบางส่วนของ
บริษัทย่อยได้จดจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินและธนาคาร
3. ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยบางส่วนได้จดจำนองกับบริษัทการเงินและธนาคารเพื่อใช้เป็นหลักประกันเงิน
กู้ยืมของบริษัทใหญ่และกิจการที่เกี่ยวข้องกัน
4. เงินฝากประจำส่วนใหญ่ได้นำไปเป็นเงินประกันหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร
5. ในปี 2541เงินลงทุนในหลักทรัพย์บางส่วนได้จำนำเป็นหลักประกันเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
หมายเหตุ 19 - ขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างการชำระหนี้ หรือสัญญา
ประนีประนอม หรือบันทึกข้อตกลงกับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง ซึ่งมีผลขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินชำระ
หนี้ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทจำนวนประมาณ 231.57 ล้านบาทและ 198.08 ล้านบาทตาม
ลำดับ และในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2541 มีจำนวนประมาณ 502.87
ล้านบาท และ 406.84 ล้านบาท ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 14 และ 15)
หมายเหตุ 20 - การผิดนัดชำระหนี้
บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีเงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร,เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยซึ่งยังไม่ได้ชำระตามกำหนด ณ วันที่ 31
ธันวาคม ประกอบด้วย
(หน่วย : พันบาท)
เงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย
2542 2541 2542 2541
บริษัทใหญ่ 302,147 1,114,974 143,888 260,983
บริษัทย่อย 468,571 505,886 205,218 131,507
รวม 770,718 1,620,860 349,106 392,490
บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาต่ออายุเงินกู้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ย
หมายเหตุ 21 - ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
1. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 2.46 ล้านบาท และ
0.75 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการออก
หนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 4.27 ล้านบาท และ 2.43 ล้านบาทในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะ
ของบริษัท ตามลำดับ
2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 205.49
ล้านบาท และ 185.67 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท ตามลำดับ
3. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับบุคคลราย
หนึ่งเพื่อใช้ในการให้เช่าเป็นที่จอดรถ ซึ่งมีมูลค่าตามสัญญา 19.82 ล้านบาท โดยที่ดินดังกล่าวมีภาระจำยอมที่ได้
จดทะเบียนไว้ในบันทึกถ้อยคำภาระจำยอมฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2533 บริษัทและผู้ขายตกลงดำเนินการจด
ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2543
4. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็น
จำนวนเงินประมาณ 18.24 ล้านบาท จากการที่เจ้าหนี้ของบริษัทผิดสัญญาว่าจ้าง บริษัทจึงถูกฟ้องในฐานะ
จำเลยร่วม ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทบันทึกหนี้สินที่อาจเกิด
ขึ้นดังกล่าวในงบการเงินเต็มจำนวนแล้ว
5. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2541 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 285.19 ล้านบาท และ
128.99 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการ
ออกหนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 7.82 ล้านบาท และ 1.97 ล้านบาท ตามลำดับ ในงบการเงินรวมและ
งบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ
6. ในปี 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น จากการที่ลูกหนี้โครงการรวม 7 รายฟ้องร้องเพื่อขอ
คืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.47 ล้านบาท และ 8.97 ล้านบาทตามลำดับ และ ถูกฟ้องร้อง
ทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยในฐานะจำเลยร่วมเป็นจำนวนเงินประมาณ 4.43 ล้านบาท จากการที่บริษัทกระทำ
(ยังมีต่อ)