ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์
16 สิงหาคม 2542
งบการเงินไตรมาส 2/2542
2. ส่วนที่เหลือจำนวน 3,486,875 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญ
แสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัด ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียน
ลดทุนและเพิ่มทุนแล้ว เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน
16,904,375 บาท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2542
นอกจากนี้มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ในราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ คิดเป็นราคาเสนอขาย
หุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่เท่ากับมูลค่าหุ้นละ 5 บาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 250,000 หุ้น ในราคา
หุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,250,000 บาท ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศแห่งหนึ่ง บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่ม
ทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30 ล้านบาทโดยแบ่ง
เป็นหุ้นสามัญ 6 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท ให้แก่นิติบุคคลต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ตามประกาศ
ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม
3,312,991,260 บาท เป็น 794,743,810 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกขาย จำนวน
251,824,745 หุ้น และมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 794,743,810 บาท เป็น 13,294,143,810 บาท
โดยการออกหุ้นใหม่ 1,249,940,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 478,840,000
หุ้น ซึ่งจะต้องออกในราคาที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และหุ้นสามัญจำนวน 771,100,000 หุ้นซึ่ง
จะต้องออกในราคาหุ้นละ 5 บาท โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1.1 จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 8,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corperation ในราคา
หุ้นละ 5 บาท
1.2 หุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจำนวน 1,241,940,000 หุ้น ให้ดำเนินการจัดสรรดังนี้
(1) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 478,840,000 หุ้น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นละ 10 บาท
(2) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 763,100,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท
โดยให้จัดสรรหุ้นจำนวนดังกล่าวทั้งหมดคราวเดียว หรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่ผู้ลงทุนประเภท
สถาบันจำนวน 17 ประเภท และ/หรือเสนอขายให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงใด ๆ ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายใน
รอบระยะเวลา 12 เดือน ตามข้อ 2 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอ
อนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่และการอนุญาต และ
(3) ให้คณะกรรมการเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดรายละเอียดในการจัดสรรหุ้น
บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วที่เสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corperation แล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน
2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 41,353,846 หุ้น มูลค่า
หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่
ดังนี้
1. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 19,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ธนาคารแห่งหนึ่งใน
ราคาหุ้นละ 5 บาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 10.2) บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่
28 พฤษภาคม 2542
2. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 4,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ใน
ราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542
3. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 18,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนแห่งหนึ่ง
ในราคาในราคาหุ้นละ 5 บาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 10.3) บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่
17 มิถุนายน 2542
4. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 353,846 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่งใน
ราคาในราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 216,300 หุ้น โดยแบ่ง
เป็นหุ้นจำนวน 142,758 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท และหุ้นจำนวน 73,542 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เป็นจำนวนเงิน
ทั้งสิ้น 1,449,210 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงตามประกาศ ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียน
เพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 98,786,000 หุ้น มูลค่าหุ้น
ละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภทตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1. ออกหุ้นจำนวน 90,486,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6 บาท โดยแบ่งออกเป็น
(1) จำนวน 38,236,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน
30,588,800 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 7,647,200 หุ้น) ให้ออกและ
เสนอขายในประเทศไทย และ
(2) จำนวน 52,250,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน
41,800,000 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 10,450,000 หุ้น) ให้ออก
และเสนอขายนอกประเทศไทย
โดยภายใต้เงื่อนไขการเสนอขายหุ้นตามสัดส่วนนี้ ผู้จองซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะต้องจองซื้อหุ้นในราคา
หุ้นละ 10 บาท จำนวน 2 หุ้น จึงจะมีสิทธิจองซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 8 หุ้น
2. ออกหุ้นจำนวน 8,300,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8 บาท โดยแบ่งออกเป็น
(1) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 3,320,000 หุ้น และ
(2) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,980,000 หุ้น ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 3 บริษัท ที่
ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย และนำเงินลงทุนมาจากต่างประเทศ โดยมีผู้ดูแลหรือจัดการเงินลงทุนให้
ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ 17 ประเภท ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 มีมติให้จัดสรรหุ้นที่ออกใหม่ จำนวน 21,200,000 หุ้น (ซึ่ง
ประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 16,960,000 บาท และหุ้นที่ออกและเสนอขายใน
ราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,240,000 หุ้น) ให้แก่นิติบุคคล 22 ราย ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภท ตาม
ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 1,200,000 หุ้น ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรทั้งหมดให้เสนอขาย
ภายนอกประเทศไทย บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2542
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 ส่วนเกินมูลค่าหุ้นแสดงสุทธิจากส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายหุ้นเพิ่ม
ทุนแล้ว
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 มีมติให้
1. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทดังต่อไปนี้
(1) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,603,351 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายเป็นการเฉพาะ
เจาะจง ให้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 10 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542
(2) บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ธนาคาร
พาณิชย์ ในประเทศแห่งหนึ่ง โดย วัน เวลา จองซื้อ และชำระเงินให้เป็นไปตามดุลยพินิจของคณะกรรมการ
2. แก้ไขเพิ่มเติมมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกโดยอาศัยมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันที่ 9
เมษายน 2542 และมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2542 โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 8,779,400 หุ้น
ในราคาหุ้นละ 5 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่
จะซื้อหุ้นให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัดครั้งที่ 2
บริษัทย่อย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 และวันที่ 24 ธันวาคม 2541 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้
แมเนจเม้นท์ จำกัด มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ
100 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3 ล้านบาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541
โดยจัดสรรให้บริษัทใหญ่ทั้งจำนวน
หมายเหตุ 13 - สินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน
1. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของโครงการและที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทใหญ่ได้จดจำนองเป็นหลักประกันเงินกู้จาก
บริษัทการเงินและธนาคาร
2. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง,สิทธิการเช่าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ดินรอการพัฒนาบางส่วนของ
บริษัทย่อยได้จดจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินและธนาคาร
3. ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยบางส่วนได้จดจำนองกับบริษัทการเงินและธนาคาร เพื่อใช้เป็นหลักประกันเงิน
กู้ยืมของบริษัทใหญ่และกิจการที่เกี่ยวข้องกัน
4. เงินลงทุนในหลักทรัพย์บางส่วนของบริษัทใหญ่ได้จำนำเป็นหลักประกันเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
5. เงินฝากประจำส่วนใหญ่ได้นำไปเป็นเงินประกันหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร
หมายเหตุ 14 - ขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้
สำหรับระยะเวลา 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้าง
การชำระหนี้ หรือสัญญาประนีประนอม หรือบันทึกข้อตกลงกับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง ซึ่งมีผลขาดทุน
จากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทจำนวนประมาณ 238.46 ล้านบาทและ
214.21 ล้านบาทตามลำดับ และสำหรับระยะเวลา 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2541 มีจำนวนประมาณ 162.323
ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 10 และ 11)
หมายเหตุ 15 - การผิดนัดชำระหนี้
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 และ 2541 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยซึ่งยังไม่ได้ชำระตามกำหนด
ดังนี้
(หน่วย:พันบาท)
เงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย
2542 2541 2542 2541
บริษัทใหญ่ 347,747 491,178 118,103 257,115
บริษัทย่อย 515,068 70,000 166,656 86,454
รวม 862,815 561,178 284,759 343,569
บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาต่ออายุเงินกู้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ย (ดูหมายเหตุประกอบ
งบการเงินข้อ 10)
หมายเหตุ 16 - ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
1. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 127.24
ล้านบาท และ 122.90 ล้านบาทในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพัน
ที่เกิดจากการออกหนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 4.01 ล้านบาท และ 2.43 ล้านบาทในงบการเงินรวม
และงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 526.62 ล้านบาท และ
161.93 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการ
ออกหนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 8.89 ล้านบาท และ 2.55 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงิน
เฉพาะของบริษัทตามลำดับ
2. ในปี 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้โครงการรวม 6 รายได้ฟ้อง
ร้องเพื่อขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.47 และ 10.03 ล้านบาทตามลำดับ จากการที่
บริษัทและบริษัทย่อยกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ณ วันที่ 30
มิถุนายน 2542 บริษัทจึงยังมิได้บันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวในงบการเงิน
ในปี 2541 บริษัทมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการที่บริษัทถูกลูกหนี้รายหนึ่งฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
เป็นจำนวนเงินประมาณ 1.36 ล้านบาท จากการที่บริษัททำผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการ
พิจารณาของศาล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 บริษัทจึงยังมิได้บันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวในงบการเงิน
3. บริษัทได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารกับบริษัทที่เกี่ยวข้องแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นสำนักงาน และเพื่อให้เช่า โดยสัญญามี
กำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2537 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 โดยวันที่ทำสัญญา
บริษัทได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 548.57 ล้านบาท เมื่อครบกำหนดสัญญา
เช่าแล้ว บริษัทต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่า โดยบริษัทจะเรียกร้องสิทธิอย่างหนึ่งจากผู้ให้เช่าไม่ได้
4. ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 มีมติให้บริษัทลงทุนในกองทุนรวมสตาร์วูด
ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ 1
5. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักพระราชวัง เพื่อใช้ในการปลูกสร้างอาคารชุดเพื่อให้เช่า
โครงการบ้านแสนสิริ โดยสัญญามีกำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2536 โดยวันที่ทำสัญญา
บริษัทได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 117.70 ล้านบาท
6. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากการทำสัญญาจองซื้อหุ้นและสัญญาชำระหนี้กับ Starwood
Thailand Corperation โดยบริษัทดังกล่าวมีสิทธิจองซื้อหุ้นหรือกำหนดชื่อบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัท
ดังกล่าวจองซื้อหุ้นในบริษัทจนถึงร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกแล้วของบริษัทได้จนถึงวันที่ 31
ธันวาคม 2545 ทั้งนี้ให้เป็นไปตามข้อกำหนด เงื่อนไขตามสัญญาและข้อบังคับบริษัท
หมายเหตุ 17 - การเปิดเผยข้อมูลจำแนกตามส่วนงาน
บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเพียงอย่างเดียว จึงไม่มีข้อมูลจำแนกตาม
ประเภทธุรกิจหรือพื้นที่ภูมิศาสตร์
หมายเหตุ 18 - การจัดประเภทรายการใหม่
รายการในงบการเงินปี 2541 บางรายการได้จัดประเภทใหม่ให้สอดคล้องกับรายการในงบการเงินปี 2542
หมายเหตุ 19 - ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 และการแก้ไขปรับปรุง (ไม่ได้สอบทานและไม่ได้เป็น
ส่วนหนึ่งของรายงานการสอบทานงบการเงิน)
ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ระบบตัวเลขสองหลักเพื่อระบุปีแทนที่จะ
เป็นตัวเลขสี่หลัก โดยระบบคอมพิวเตอร์อาจอ่านปี ค.ศ. 2000 เป็นปีอื่น ๆ ทั้งนี้ระบบที่ใช้ดังกล่าวอาจทำให้เกิดข้อผิด
พลาดเมื่อมีการประมวลข้อมูลที่ใช้วันที่ก่อน ในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2543 ข้อผิดพลาดดังกล่าวอาจมีผลต่อการ
ดำเนินงานและการรายงานทางการเงิน ซึ่งอาจเป็นข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยจนถึงขั้นเกิดความล้มเหลวของระบบงานที่
สำคัญหากมิได้ปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสมและทันกาล และอาจมีผลกระทบต่อความสามารถของ
กิจการในการดำเนินธุรกิจตามปกติ นอกจากนี้ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่ากิจการ ตลอดจนผู้ซื้อสินค้า ผู้ขายสินค้าและกิจการ
อื่น ที่ดำเนินธุรกิจด้วยจะสามารถแก้ไขปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 ได้ทั้งหมด
บริษัทได้พิจารณาถึงผลกระทบของปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ (โปรแกรมและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์) เพื่อแก้ไขปัญหาปี
ค.ศ. 2000 ซึ่งได้แก้ไขแล้วเสร็จในปีก่อน รายจ่ายรวมสำหรับโครงการดังกล่าวมีจำนวนประมาณ 1.5 ล้านบาท แม้
ว่าบริษัทอาจสามารถแก้ไขปัญหาปี ค.ศ. 2000 บริษัทยังคงมีความเสี่ยงต่อการที่บริษัทอื่นที่บริษัทดำเนินธุรกิจด้วย
อาจไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงระบบได้ทันกาล
หมายเหตุ 20 - เหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบการเงิน
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 บริษัทและบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ
ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในประเทศ เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้เงินกู้ยืม เงินกู้เบิกเกินบัญชีและดอกเบี้ยของบริษัทซึ่งมี
ยอดคงเหลือ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2542 จำนวน 47.26 ล้านบาท และหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีของบริษัทย่อยจำนวน
26.50 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญาได้ตกลงโอนที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทจำนวน 24.33 ล้านบาท ที่ดินรอการ
พัฒนาของบริษัทย่อยจำนวน 19.42 ล้านบาท จำนำหุ้นของบริษัทเงินทุนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทจำนวน
21,000 หุ้น นอกจากนี้บริษัทจะชำระหนี้เป็นจำนวน 30 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าธนาคารต้องนำเงินดังกล่าวมาซื้อ
หุ้นเพิ่มทุนของบริษัทใหญ่จำนวน 3,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท
บริษัทและบริษัทย่อยมีสิทธิซื้อที่ดินที่โอนชำระหนี้คืนได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่โอนชำระหนี้ตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
ในราคา 65.69 ล้านบาท
***
OPT 1.50