ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์
16 สิงหาคม 2542
งบการเงินไตรมาส 2/2542
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 เงินให้กู้ยืมแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกันและดอกเบี้ยค้างรับแยกตามอายุหนี้ที่ค้างชำระ
ได้ดังนี้
(หน่วย : ล้านบาท)
งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท
เงินต้น ดอกเบี้ยค้างรับ เงินต้น ดอกเบี้ยค้างรับ
เมื่อทวงถาม 5.0 - 546.27 -
ตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 3 เดือน - - - 1.46
มากกว่า 3 เดือน ถึง 6 เดือน - - - 8.58
มากกว่า 6 เดือน ถึง 12 เดือน - - - 14.85
มากกว่า 12 เดือนขึ้นไป - 0.33 - -
หัก ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (5.0) (0.33) - -
รวม - - 546.27 24.89
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 เงินให้กู้ยืมแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกันและดอกเบี้ยค้างรับแยกตามอายุหนี้ที่ค้างชำระได้ดังนี้
(หน่วย : ล้านบาท)
งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท
เงินต้น ดอกเบี้ยค้างรับ เงินต้น ดอกเบี้ยค้างรับ
เมื่อทวงถาม 5.0 - 511.35 -
มากกว่า 3 เดือน ถึง 6 เดือน - 0.33 - -
มากกว่า 6 เดือน ถึง 12 เดือน - - - 10.58
มากกว่า 12 เดือน ขึ้นไป - - - 29.92
รวม 5.0 0.33 511.35 40.50
หมายเหตุ 8 - การตีราคาที่ดินรอการพัฒนา
ในปี 2540 บริษัทได้ตีราคาที่ดินรอการพัฒนาเพิ่มขึ้น โดยผู้ประเมินราคาอิสระซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้วิธี Fair Market Value สินทรัพย์ส่วนที่ตี
ราคาเพิ่มมีดังนี้
ราคาตามบัญชีเดิม ราคาที่ตีเพิ่ม
บาท บาท ผลต่าง
ที่ดินรอการพัฒนา :
บริษัท แสนภิญโญ จำกัด 110,406,452.36 650,167,115.00 539,760,662.64
บริษัท ปราคาร จำกัด 33,373,390.00 134,832,885.00 101,459,495.00
143,779,842.36 785,000,000.00 641,220,157.64
บริษัทบันทึกที่ดินรอการพัฒนาส่วนที่ตีราคาเพิ่มในบัญชีส่วนเกินทุนจากการตีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นในงบดุล
ในปี 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยได้ตีราคาที่ดินรอการพัฒนาใหม่ โดยผู้ประเมินราคาอิสระซึ่งได้รับความเห็นชอบ
จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาด สินทรัพย์ส่วนที่ตี
ราคามีดังนี้
ราคาทุน ราคาที่ตีใหม่ ส่วนเกินทุนจากการ
ตีราคาที่ดิน
บาท บาท บาท
ที่ดินรอการพัฒนา :
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 8,197,823.44 37,548,000.00 29,350,176.56
หัก มูลค่าที่ลดลงจากการทำบันทึกข้อตกลง
ชำระหนี้ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20) - (13,219,795.03) (13,219,795.03)
8,197,823.44 24,328,204.97 16,130,381.53
ที่ดินรอการพัฒนา :
บริษัท แสนภิญโญ จำกัด 110,406,452.36 609,600,000.00 499,193,547.64
บริษัท ปราคาร จำกัด 33,373,390.00 126,420,000.00 93,046,610.00
143,779,842.36 736,020,000.00 592,240,157.64
รวม 151,977,665.80 760,348,204.97 608,370,539.17
ในปี 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ตีราคาที่ดินรอการพัฒนาซึ่งลดลง ดังนี้
ราคาทุน ราคาที่ตีใหม่ ขาดทุนจากการ
ตีราคาที่ดิน
บาท บาท บาท
ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัท ชนชัย จำกัด 73,967,405.52 73,014,381.12 (953,024.40)
ในไตรมาสที่ 3 บริษัท ชนชัย จำกัด ได้นำที่ดินรอการพัฒนาตามราคาที่ตีใหม่จำนวน 36.42 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้
จำนวน 19.42 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัทจึงแสดงที่ดินรอการ
พัฒนาตามราคาที่ตีใหม่สุทธิจากค่าเผื่อการลดมูลค่าจำนวนประมาณ 17 ล้านบาท
หมายเหตุ 9 - เงินลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ
เงินลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 และ 2541 ประกอบด้วย
(หน่วย : พันบาท) ผลขาดทุนส่วนล้ำ
สัดส่วน วิธีราคาทุน วิธีส่วนได้เสีย เงินลงทุน
บริษัทย่อย ทุนชำระแล้ว เงินลงทุน 2542 2541 2542 2541 2542 2541
บริษัท แสนภิญโญ จำกัด 11,000 99% 14,490 14,490 459,899 - - (17,366)
บริษัท ชนชัย จำกัด 90,000 99% 101,524 101,524 - 89,846 (200,220) -
บริษัท ชัยนาท จำกัด 30,000 99% 51,950 51,950 - - (319,829) (70,231)
บริษัท ปราคาร จำกัด 1,000 99% 1,000 1,000 80,460 - - (13,344)
บริษัท แสนสิริ พร็อพเพอร์ตี้
พลัส จำกัด 3,000 100% 3,000 - 3,909 - - -
รวมเงินลงทุนในบริษัทย่อย 171,964 168,964 544,268 89,846 (520,049) (100,941)
บริษัทร่วม
บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท
แมเนจเม้นท์ จำกัด 25,000 20% 6,000 - 6,583 - - -
รวมเงินลงทุนในบริษัทร่วม 6,000 - 6,583 - - -
บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
บริษัท รีเจนซี่ วรรณ จำกัด 200,000 10% 20,000 20,000 - - - -
หัก ค่าเผื่อการลดมูลค่า (20,000) (1,357) - - - -
รวมเงินลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ - 18,643 - - - -
รวมเงินลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ 177,964 187,607 550,851 89,846 (520,049) (100,941)
บริษัทมีลักษณะความสัมพันธ์กับกิจการที่เกี่ยวข้องกันข้างต้นซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยการ
ถือหุ้นและมีคณะกรรมการบางท่านร่วมกัน
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ เป็น บริษัท
แสนสิริ พร็อพเพอร์ตี้ พลัส จำกัด
หมายเหตุ 10 - เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน
บริษัทใหญ่
10.1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 บริษัทในฐานะลูกหนี้ และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะผู้ค้ำประกันได้ทำบันทึก
ข้อตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการชำระเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยค้างจ่ายซึ่ง
มียอดคงเหลือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นจำนวนรวมประมาณ 26.74 ล้านบาท โดยลูกหนี้และผู้ค้ำ
ประกันตกลงชำระเป็นเงินสดจำนวน 1.99 ล้านบาท และชำระโดยที่ดินรอการพัฒนาของผู้ค้ำประกันจำนวน
20.07 ล้านบาท บริษัทมีผลกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 จำนวน 4.68 ล้านบาท
จากการที่บริษัทย่อยดังกล่าวโอนที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยจำนวน 20.07 ล้านบาท ซึ่งมีราคาตามบัญชี
จำนวน 34.51 ล้านบาทนั้น เป็นผลให้บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้ที่มีต่อบริษัทใหญ่
จำนวน 14.44 ล้านบาท
10.2 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 บริษัทได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศแห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 432.72 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน 109.79 ล้านบาท โดย
โอนที่ดินโครงการ ซึ่งมีราคาทุนตามบัญชีประมาณ 702.18 ล้านบาท และบริษัทตกลงขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน
19 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่า 95 ล้านบาท ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อนำเงินจากการจำหน่าย
หุ้นดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ เป็นผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 254.67 ล้านบาท
10.3 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ได้ทำบันทึกข้อตกลงการปรับ
ปรุงโครงสร้างการชำระหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง โดยมีบริษัทย่อยอีก 2 แห่งเป็นผู้จำนองในฐานะผู้ค้ำ
ประกันการชำระหนี้ซึ่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2542 มีหนี้เงินต้นของบริษัทจำนวน 325.30 ล้านบาท และดอกเบี้ย
ค้างจ่ายจำนวน 97.43 ล้านบาทและหนี้เงินต้นของบริษัทย่อยจำนวน 15 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน
3.92 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทเงินทุนดังกล่าวตกลงรับซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทใหญ่
จำนวน 18 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงิน 90 ล้านบาทและบริษัทใหญ่นำเงินค่าหุ้นที่ได้รับมาชำระ
หนี้เงินต้นของบริษัทย่อยจำนวน 15 ล้านบาทและดอกเบี้ยค้างจ่ายถึงวันที่ 31 มีนาคม 2542 จำนวน 2.48 ล้าน
บาท เป็นผลให้บริษัทย่อยมีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 1.44 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปแบ่ง
ชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายของบริษัทสองส่วน คือ ชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายถึง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2542 จำนวน 61.65
ล้านบาท เป็นผลให้บริษัทใหญ่มีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 35.78 ล้านบาทและชำระดอกเบี้ย
ส่วนที่เหลือจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2542 จำนวน 10.87 ล้านบาท โดยสถาบันการเงินได้ขยายระยะเวลาครบ
กำหนดชำระหนี้สำหรับเงินต้นคงเหลือ และลดอัตราดอกเบี้ยลง และสถาบันการเงินดังกล่าวจะทำการประมูล
สิทธิเรียกร้องที่สถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งมีต่อบริษัทภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหากการประมูลเป็นผลสำเร็จ
สถาบันการเงินตกลงรับชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยค้างจ่ายและมูลหนี้ที่ได้มาตามสิทธิเรียกร้อง โดยการรับ
โอนที่ดินรอการพัฒนาของผู้ค้ำประกันที่ได้จำนองเป็นหลักประกัน ซึ่งมีมูลค่าเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น เท่ากับยอด
หนี้ที่บริษัทค้างชำระอยู่ต่อสถาบันการเงินภายใต้เงื่อนไขการซื้อคืนที่ระบุในสัญญาและยินยอมปลดจำนำหุ้น
ของบริษัทที่ลงทุนในบริษัทย่อย 2 แห่ง ซึ่งได้จำนำไว้เป็นหลักประกันให้แก่บริษัทใหญ่ แต่หากสถาบันการเงินไม่
ได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กำหนด บริษัทตกลงให้เงินต้นและดอกเบี้ยค้างจ่ายถึงกำหนดชำระโดย
ทันที
10.4 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการ
ชำระหนี้เงินกู้ยืมจากธนาคาร โดยธนาคารตกลงโอนสินเชื่อและหลักประกันตามสัญญาให้สินเชื่อเฉพาะในส่วน
ของเงินต้นจำนวนเงิน 187 ล้านบาทพร้อมทั้งสิทธิจำนองที่ดินของโครงการศาลาแดง 748 ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางไว้ และได้รับ
โอนที่ดินโครงการที่ใช้เป็นหลักประกันซึ่งมีราคาทุนของโครงการตามบัญชีประมาณ 349 ล้านบาทเพื่อชำระหนี้
เงินต้นจำนวนดังกล่าว ทำให้บริษัทเกิดผลขาดทุนจากการโอนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อชำระหนี้
จำนวน 162.323 ล้านบาท
บริษัทย่อย
10.5 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 บริษัทเงินทุนแห่งหนึ่งในฐานะเจ้าหนี้ได้ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทในฐานะผู้ค้ำ
ประกันและบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในฐานะลูกหนี้ เนื่องจากบริษัทย่อยได้ผิดสัญญากู้ยืมเงิน โดยยอดหนี้ซึ่งเป็นทุน
ทรัพย์ที่ฟ้องจำนวน 29.548 ล้านบาท คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2542 บริษัท
ในฐานะผู้ค้ำประกันและบริษัทย่อยดังกล่าวได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และข้อตกลงการชำระหนี้จำนวนเงินทั้งสิ้น
30.683 ล้านบาทภายในเดือนกรกฎาคม 2542 โดยแบ่งเป็นเงินต้นจำนวน 20 ล้านบาทและดอกเบี้ยค้างจำนวน
10.683 ล้านบาท บริษัทย่อยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดภายในไม่เกินวันที่ 15 กรกฎาคม 2542 เพื่อชำระหนี้
จำนวน 2.28 ล้านบาท ส่วนที่เหลือชำระด้วยเงินสดจำนวน 20.03 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าเงินสดจำนวน
16.03 ล้านบาท เจ้าหนี้จะนำเงินที่ได้รับดังกล่าวมาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 1,603,351 หุ้น
มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ณ วันที่ในรายงานการสอบทานงบการเงิน ห้องชุดดังกล่าวอยู่ระหว่างการตกแต่ง
บริษัทย่อยดังกล่าวจึงยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้แก่เจ้าหนี้
หมายเหตุ 11 - เจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง
บริษัทใหญ่
เจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2542 รวมเจ้าหนี้ที่ได้ยื่นฟ้องบริษัทเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างแต่ต่อมาได้
ถอนฟ้องบริษัทแล้ว ซึ่งเดิมเจ้าหนี้รายดังกล่าวได้ส่งใบแจ้งการเรียกเก็บเงินล่าสุดเป็นจำนวนเงินประมาณ 47 ล้านบาท
แต่บริษัทบันทึกบัญชีไว้เป็นจำนวนเงินประมาณ 21 ล้านบาท เนื่องจากผลการประเมินมูลค่างานต่ำกว่าจำนวนเงินที่
เจ้าหนี้รายดังกล่าวเรียกเก็บ
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 3 ราย โดยมีบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง
เป็นผู้ค้ำประกันเกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างรวมภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 1.47 ล้านบาท โดยผู้ค้ำประกันได้โอน
เงินลงทุนในหลักทรัพย์จำนวน 142,999 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท รวมเป็นมูลค่าหุ้น 1.43 ล้านบาท ชำระหนี้แทน
บริษัท บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 0.04 ล้านบาท
บริษัทย่อย
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 2 รายเกี่ยวกับเรื่อง
การชำระหนี้ค่าก่อสร้างสุทธิจำนวน 4.74 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญาได้นำบัญชีเจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง เงินประกันการ
ก่อสร้างและเงินล่วงหน้าค่าก่อสร้าง มาหักกลบลบหนี้เป็นผลให้บริษัทไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง คือ บริษัท ชนชัย จำกัด ได้ทำสัญญาประนีประนอมหรือบันทึกข้อตกลงกับ
เจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง จำนวน 6 ราย เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 46.63 ล้านบาทโดยมีบริษัทและบริษัท
ย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทย่อยชำระเป็นเงินสดจำนวน 20 ล้านบาท และชำระโดย
การโอนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทย่อยจำนวน 1.86 ล้านบาท และบริษัทชำระหนี้แทนบริษัทย่อย จำนวน 20
ล้านบาทโดยเจ้าหนี้ได้นำเงินดังกล่าวมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 4 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท นอกจากนี้ผู้
ค้ำประกันได้โอนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ชำระหนี้แทนบริษัทย่อยจำนวน 2.26 ล้านบาท บริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการ
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้จำนวน 1.10 ล้านบาท เป็นผลให้บริษัทมีกำไรจากการโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 1.41
ล้านบาท
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง คือ บริษัท ชัยนาท จำกัด ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างราย
หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 2.89 ล้านบาท โดยผลสรุปของสัญญา บริษัทชำระเป็นเงินสดจำนวน
1.44 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 1.45 ล้านบาท นำไปชำระหนี้โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าหนี้นำเงินมาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ
บริษัทใหญ่จำนวน 142,758 หุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาท และจำนวน 73,542 หุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2542 บริษัทย่อยคือ บริษัท ชัยนาท จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดจำนวน 38.03 ล้านบาท เพื่อชำระ
หนี้ค่าก่อสร้างสุทธิจำนวน 25.54 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุนจำนวน 12.26 ล้านบาท
หมายเหตุ 12 - ทุนเรือนหุ้น
บริษัทใหญ่
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 มีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 645,500,000
บาท เป็น 945,500,000 บาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 30 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท รวม 300 ล้านบาท เพื่อ
ทำการเสนอขายทั้งหมดในคราวเดียวหรือหลายคราวต่อผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศคณะ
กรรมการ ก.ล.ต.โดยในส่วนของราคาขายต่อหุ้น วัน เวลา จองซื้อ และชำระเงินค่าหุ้น ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะ
กรรมการ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม
29,280,450 บาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,928,045 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาทให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
แห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สินของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อ
วันที่ 12 มิถุนายน 2541
ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2541 มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 4 ล้านบาท โดย
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการ
ปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2541
ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 5 ล้านบาท โดย
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และเสนอขายหุ้น
เพิ่มทุน จำนวนรวม 1,222,438 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการ
ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท บริษัทได้จดทะเบียน เพิ่มทุนชำระแล้ว เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2541 ต่อมาเมื่อ
วันที่ 28 สิงหาคม 2541 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 137,023 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10
บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2541
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2541 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม
945,500,000 บาท เป็น 697,375,060 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกจำหน่าย จำนวน
24,812,494 หุ้น และมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 697,375,060 บาท เป็น 3,312,991,260 บาท โดยการ
ออกหุ้นใหม่เป็นหุ้นสามัญ จำนวน 261,561,620 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท รวม 2,615,616,200 บาท โดยจัดสรรหุ้น
เพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้
1. จำนวน 258,074,745 หุ้น เพื่อทำการเสนอขายทั้งหมดหรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่
ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายในรอบระยะเวลา 12 เดือน และ / หรือเสนอขาย
ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. ในกรณีที่หุ้นเหลือจากการเสนอขาย
ดังกล่าวให้เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและในกรณีที่ยังคงมีเศษของหุ้นที่เหลือ
จากการเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนอีกให้เสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทโดยในส่วน
ของวัน เวลา จองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นให้เป็นไปตามดุลยพินิจของคณะกรรมการ
(ยังมีต่อ)