14 November 2000

งบการเงินไตรมาสที่ 3/2543

จ่ายจำนวน 109.35 ล้านบาทโดยผลสรุปของสัญญา บริษัทย่อยตกลงจะโอนสิทธิการเช่าที่ดินในโครงการหลัง สวน ที่มีอยู่ต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้แก่ธนาคารในมูลค่า 130.97 ล้านบาท จ่าย ชำระเป็น เงินสดจำนวน 30 ล้านบาทและธนาคารจะนำเงินมาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทใหญ่จำนวน 5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท หลังจากเงื่อนไขต่างๆได้บรรลุผลแล้ว บริษัทย่อยตกลงผ่อนชำระเงินต้นจำนวน 99.85 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-2 จ่ายชำระเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน ในอัตราร้อยละ 6.0 ต่อปี ปีที่ 3-5 จ่ายชำระเงินต้นเดือนละไม่น้อยกว่า 2.80 ล้านบาท และดอกเบี้ยรายเดือนในอัตราร้อยละ MLR ต่อปี เมื่อบริษัทย่อยผ่อนชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว ธนาคารจะปลดหนี้ค้างชำระส่วนที่เหลือให้แก่บริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 บริษัทยังอยู่ระหว่างรอการอนุมัติการโอนสิทธิการเช่าในโครงการหลังสวน จากสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หมายเหตุ 11 - ทุนเรือนหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2543 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5 ล้านหุ้น ให้แก่ ธนาคารแห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 ส่วนเกินมูลค่าหุ้นแสดงสุทธิจากส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายหุ้น เพิ่มทุนแล้ว หมายเหตุ 12 - หนี้สินระยะยาว หนี้สินระยะยาว ประกอบด้วย (หน่วย : พันบาท) งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะของบริษัท 30 กันยายน 2543 31 ธันวาคม 2542 30 กันยายน 2543 31 ธันวาคม 2542 เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงิน 196,052 338,697 - - หัก ส่วนของหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนด ภายในหนึ่งปี (196,052) (338,697) - - - - - - บริษัทใหญ่ - ในไตรมาสที่ 3 ปี 2543 ได้รับวงเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร จำนวน 30 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้น ภายใน 5 ปี และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนโดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทจะนำที่ดิน โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน บริษัทย่อย - เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงิน วงเงิน 12 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายในปี 2540 และชำระ ดอกเบี้ยทุกสามเดือนในอัตรา LIBOR+3.5% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเพลินจิต - เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่ เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 275 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายในปี 2541 และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตรา MLR+0.5% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านสี่ทิศ - เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่ เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 476 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน 12 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยมีระยะเวลาการปลอดชำระเงินต้น 3 ปี และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ในอัตรา MLR+1% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการหลังสวน ส่วนของหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี แสดงไว้ภายใต้หนี้สินหมุนเวียน หมายเหตุ 13 - สินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน 1. ในปี 2542 ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของโครงการและที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทใหญ่ได้จดจำนองเป็นหลัก ประกันเงินกู้จากบริษัทการเงินและธนาคาร 2. ในปี 2542 ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง, ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยบางส่วนได้จดจำนองกับบริษัทการเงินและ ธนาคารเพื่อใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ยืมของบริษัทย่อยและกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 3. สิทธิการเช่าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทย่อยได้จดจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมจากบริษัทการเงิน และธนาคาร 4. เงินฝากประจำส่วนหนึ่งได้นำไปเป็นเงินประกันหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร หมายเหตุ 14 - การผิดนัดชำระหนี้ บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีเงินเบิกเกินบัญชีธนาคารเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยซึ่งยังไม่ได้ชำระตามกำหนด ดังนี้ (หน่วย : พันบาท) เงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย 30 กันยายน 31 ธันวาคม 30 กันยายน 31 ธันวาคม 2543 2542 2543 2542 บริษัทใหญ่ - 302,147 - 143,888 บริษัทย่อย - 468,571 - 205,218 รวม - 770,718 - 349,106 บริษัทได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 10) หมายเหตุ 15 - ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น 1. ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน186.90 ล้านบาท ในงบ การเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการออกหนังสือค้ำประกันโดย ธนาคารจำนวน 33.08 ล้านบาท และ 30.48 ล้านบาทในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท ตาม ลำดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 2.46 ล้านบาท และ 0.75 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการออก หนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 4.27 ล้านบาท และ 2.43 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะ ของบริษัท 2. ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีภาระผูกพันจากการที่ต้องนำเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ ประมาณ 3.40 ล้านบาทออกขายและนำไปชำระหนี้ให้กับบริษัทใหญ่ตามหนังสือแจ้งการปรับโครงสร้างหนี้กับ บริษัทใหญ่จำนวน 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทย่อยได้จ่ายชำระเงินกู้ยืมจากบริษัทใหญ่แล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 3. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 บริษัทได้ทำสัญญาขายและซื้อหุ้นกับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยผลสรุปของสัญญาบริษัท ตกลงโอนหุ้นที่บริษัทถือในบริษัท พอยท์ เอเชีย แอ๊คเซ็ส จำกัด จำนวน 250,000 หุ้นในราคาประมาณ 27 ล้าน บาทให้แก่บริษัทดังกล่าว และบริษัทจะได้รับหุ้นสามัญของบริษัทดังกล่าวจำนวน 38,000 หุ้น ไม่เกินวันที่ 31 สิงหาคม 2543 จะทำให้บริษัทถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเป็นสัดส่วน 70 %ของหุ้นบริษัทดังกล่าว และถือหุ้นใน บริษัท พอยท์ เอเชีย แอ๊คเซ็ส จำกัด คิดเป็น 30 % ของหุ้นบริษัท พอยท์ เอเชีย แอ๊คเซ็ส จำกัด 4. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 บริษัทได้ทำสัญญาขายและซื้อหุ้นกับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยผลสรุปของสัญญาบริษัท ตกลงโอนหุ้นสามัญที่ถือในบริษัทแสนสิริ โฮม เน็ตเวิร์ค จำกัด จำนวน 30,000 หุ้น ให้บริษัทดังกล่าวและ บริษัท ดังกล่าวตกลงออกหุ้นใหม่ของตนให้แก่บริษัทจำนวน 62,000 หุ้น โดยจะตกลงตามสัญญาภายใน 6 เดือนนับ จากวันทำสัญญา 5. ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 บริษัทมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็น จำนวนเงินประมาณ 18.24 ล้านบาท จากการที่เจ้าหนี้ของบริษัทผิดสัญญาว่าจ้างบริษัทจึงถูกฟ้องในฐานะ จำเลยร่วม ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล บริษัทบันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวในงบการเงินเต็ม จำนวนแล้ว 6. ณ วันที่ 30 กันยายน 2543 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น จากการที่ลูกหนี้โครงการรวม 7 ราย ฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.47 ล้านบาท และ 3.36 ล้านบาทตามลำดับ และถูกฟ้องร้องทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยในฐานะจำเลยร่วมเป็นจำนวนเงินประมาณ 4.43 ล้านบาท จากการ ที่บริษัทกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เพิกถอนกลฉ้อฉล และลักทรัพย์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยบันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวไว้ในงบการเงินเต็มจำนวนแล้ว 7. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 185.67 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2543 8. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับบุคคล รายหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าตามสัญญา 19.82 ล้านบาท โดยที่ดินดังกล่าวมีภาระจำยอมที่ได้จดทะเบียนไว้ในบันทึก ถ้อยคำภาระจำยอมฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2533 บริษัทและผู้ขายตกลงดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แล้วในวันที่ 26 เมษายน 2543 โดยมีการเปลี่ยนตัวผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากบริษัทย่อยดังกล่าวเป็นบริษัท 9. บริษัทมีภาระผูกพันจากการทำสัญญาจองซื้อหุ้นและสัญญาชำระหนี้กับ Starwood Thailand Corperation ใน เดือน มีนาคม 2542โดยบริษัทดังกล่าวมีสิทธิจองซื้อหุ้นหรือกำหนดชื่อบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว จองซื้อหุ้นในบริษัทจนถึงร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกแล้วของบริษัทได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ทั้งนี้ให้เป็นไปตามข้อกำหนด เงื่อนไขตามสัญญาและข้อบังคับบริษัท โดยมีรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับสิทธิใน การจองซื้อหุ้นโดยสตาร์วูด หรือบุคคลที่สตาร์วูดกำหนดได้ดังนี้ - การจองซื้อหุ้นครั้งแรกเป็นจำนวน 8,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สอง ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือละเว้นเงื่อนไขในสัญญาและขึ้นอยู่กับสัญญาการจ่าย ชำระหนี้ ผู้จองซื้อจะซื้อหุ้นจำนวน 32.4 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยเท่ากับจำนวนของหนี้ที่ได้ชำระ ผู้จองซื้อจะชำระโดยการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สาม ผู้จองซื้อหุ้นสามารถจองซื้อหุ้นจำนวน 8 ล้านหุ้น ๆ ละ 5 บาท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สี่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือละเว้น ตามเงื่อนไขในสัญญาในการจองซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ ก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2545 - ในกรณีจองซื้อหุ้นดังกล่าวข้างต้นจะชำระค่าหุ้นโดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถออกหุ้นสามัญได้ในราคา 5 บาทต่อหุ้น บริษัทอาจออกหลักทรัพย์ประเภทอื่นตามที่ สตาร์วูดและบริษัทจะได้ตกลงร่วมกันให้แทน และหากสตาร์วูดและบริษัทไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับทางเลือกอื่น ในการออกหลักทรัพย์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้าข้างต้นนี้ สตาร์วูดมีสิทธิที่จะจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ใน ราคาหุ้นละ 10 บาท (หรือในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นตามที่กำหนดในข้อกำหนดในการรับหลักทรัพย์ของตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ไม่น้อยกว่าหุ้นละ 5 บาท) โดยที่เมื่อสตาร์วูดทำการจองซื้อบริษัทจะต้องชดเชยผล ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจให้แก่สตาร์วูดตามที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้เป็นจำนวนเท่ากับราคาจองซื้อที่ชำระ โดยสตาร์วูดดังกล่าวในส่วนที่เกินกว่าราคาจองซื้อหุ้นที่สตาร์วูดต้องชำระข้างต้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้า ข้างต้น ตามข้อตกลงได้กำหนดให้บริษัทจะต้องเข้าทำความตกลงกับนิติบุคคล ซึ่งมีทุนทั้งหมดเป็นของสตาร์วูดหรือกับบุคคล ที่สตาร์วูดกำหนด (บริษัทสินทรัพย์) โดยที่นับจากวันที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้น บริษัทสินทรัพย์ต้องชำระค่าบริการ บริหารสินทรัพย์รายปีให้แก่บริษัทเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 0.375 ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดของบริษัทสินทรัพย์ (ทุนและหนี้) ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคราว ๆ ทั้งนี้ โดยจะมีเงื่อนไขว่าจะต้องหักเงินจำนวน 40,000,000 บาทจาก ค่าบริการบริหารสินทรัพย์รายปีสำหรับปีแรก และถ้าสตาร์วูดได้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวน 8,000,000 หุ้นเพิ่มเติมในปีที่สอง แล้ว ก็ให้หักสำหรับปีที่สองด้วย (แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ค่าบริการจะต้องไม่น้อยกว่าศูนย์) ในส่วนของสัญญาชำระหนี้มีสาระสำคัญดังนี้ 1) สตาร์วูดเสนอที่จะรับโอนหนี้ค้างชำระที่บริษัทมีอยู่ตามสัญญากู้ยืมเงินระหว่างบริษัท หรือบริษัทย่อยของ บริษัทกับสถาบันการเงินต่างๆ 2) สตาร์วูดมีสิทธิขอให้บริษัทออกหุ้นสามัญเพื่อเสนอขายให้แก่ตน โดยให้มูลค่าหุ้นที่จองซื้อทั้งหมด ที่จ่ายโดยสตาร์วูดมีจำนวนเท่ากับจำนวนต้นเงินรวมของหนี้ที่โอน โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทจะต้อง ชำระ คืนหนี้ที่โอนให้แก่สตาร์วูด ภายหลังจากที่สตาร์วูดจองซื้อหุ้นดังกล่าวเสร็จสิ้น 3) เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว สตาร์วูดหรือบริษัทอาจส่งคำบอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่ง ชำระหรือรับชำระคืนหนี้ที่โอนก็ได้ ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ขอให้สตาร์วูดรับชำระคืนหนี้ที่โอนสตาร์วูดมี สิทธิที่จะเรียกให้บริษัทชำระหนี้คืนให้แก่สตาร์วูดแทนการจองซื้อหุ้นในบริษัทก็ได้ 4) สตาร์วูดตกลงว่าจะไม่ทวงถามให้บริษัทหรือบริษัทย่อยใดๆ ของบริษัทชำระหนี้ หรือดำเนินคดีใดๆ เพื่อ บังคับชำระหนี้เกี่ยวกับหนี้ที่โอน ทั้งนี้บริษัทจะต้องไม่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขของตนเองที่บริษัทได้ให้ไว้ ตามสัญญาจองซื้อหุ้นหรือสัญญาชำระหนี้ข้างต้น หมายเหตุ 16 - สัญญาเช่าระยะยาว 1. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโครงการให้เช่ากับบุคคลราย หนึ่งโดยมีอายุการเช่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 มีมูลค่าการเช่ารวม 54 ล้านบาทซึ่งกำหนดอัตราการเช่าเป็นรายปี และกำหนดการชำระค่าเช่าทุกวันที่ 10 มกราคมของทุกปี ตาม รายละเอียดดังนี้ 1. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 ปีละ 3.0 ล้านบาท 2. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ปีละ 3.6 ล้านบาท 3. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปีละ 4.2 ล้านบาท ทางผู้ให้เช่าได้แจ้งขอเลื่อนการจดทะเบียนการเช่าไปอีก 80 วัน เนื่องจากยังไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างบางส่วนมาเป็นของผู้ให้เช่าทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินที่ให้เช่าดังกล่าวนั้นได้มีผู้ เช่ารายเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงกับผู้เช่ารายเดิม โดยบริษัทได้ ขอให้ผู้เช่ารายเดิมทำการยกเลิกสัญญาการเช่าอาคารกับผู้ให้เช่าก่อนกำหนด เพื่อให้บริษัททำการเช่าทรัพย์ และที่ดินบริเวณข้างเคียงจากผู้ให้เช่า บริษัทตกลงชดเชยประโยชน์ที่ผู้เช่ารายเดิมขาดไปจำนวนหนึ่งอันเนื่อง จากการที่ผู้เช่ารายเดิมต้องยกเลิกสัญญาเช่าอาคารก่อนกำหนดและบริษัทตกลงซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการ ประกอบกิจการให้เช่าช่วงห้องพักในทรัพย์สินที่เช่าทั้งหมดในราคา 1.07 ล้านบาท โดยกำหนดชำระค่าชดเชย บางส่วนจำนวน 0.2 ล้านบาท ในวันที่ลงในสัญญานี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2543 บริษัทได้จ่ายชำระครบถ้วนแล้ว และเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 บริษัทได้ทำสัญญาแบ่งเช่าที่ดินแล้ว 2. บริษัทได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารกับบริษัทที่เกี่ยวข้องแห่งหนึ่งเพื่อเป็นสำนักงานและเพื่อให้เช่าโดยสัญญามี กำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2537 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 โดยวันที่ทำสัญญา บริษัทได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 548.57 ล้านบาท เมื่อครบกำหนด สัญญาเช่าแล้วบริษัทต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่าโดยบริษัทจะเรียกร้องสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง จากผู้ให้เช่าไม่ได้ 3. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักพระราชวังเพื่อใช้ในการปลูกสร้างอาคารชุดเพื่อให้เช่าโครง การบ้านแสนสิริ โดยสัญญามีกำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2536 โดยวันที่ทำสัญญาบริษัท ได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 117.70 ล้านบาท หมายเหตุ 17 - การจัดประเภทรายการใหม่ รายการในงบการเงินปี 2542 บางรายการได้จัดประเภทใหม่ให้สอดคล้องกับรายการในงบการเงินปี 2543 หมายเหตุ 18 - ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 (ไม่ได้สอบทานโดยผู้สอบบัญชี) จนถึง ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 การดำเนินงานและการรายงานทางการเงินของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 ฝ่ายบริหารของบริษัทคาดว่าปัญหาปี ค.ศ. 2000 จะไม่มีผล กระทบที่เป็นนัยสำคัญต่อการดำเนินงานหรือการรายงานทางการเงินของบริษัทในปี 2543 หมายเหตุ 19 - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการดำเนินงานตามประเภทส่วนงานทางธุรกิจและส่วนงานทางภูมิศาสตร์ สำหรับระยะเวลา 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2543 (หน่วย : พันบาท) อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า บริหารและตกแต่ง ให้บริการอินเตอร์เน็ต รวม รายการตัดบัญชี รวม ที่ดินรอการพัฒนา อาคาร และกิจการโทรคมนาคม รายได้ รายได้สิทธิการเช่าตัดบัญชี 23,939 - - - 23,939 - 23,939 รายได้ค่าบริการธุรกิจ 58,073 - 32,428 33 90,534 (7,002) 83,532 รายได้ค่าเช่า 27,090 1,790 - - 28,880 (133) 28,747 รวม 109,102 1,790 32,428 33 143,353 (7,135) 136,218 ค่าใช้จ่าย ต้นทุนขายและบริการ 40,872 - 22,201 231 63,304 (5,649) 57,655 สิทธิการเช่าและต้นทุนการพัฒนาตัดบัญชี 15,335 - - - 15,335 - 15,335 รวม 56,207 - 22,201 231 78,639 (5,649) 72,990 กำไรขั้นต้น 52,895 1,790 10,227 (198) 64,714 (1,486) 63,228 สินทรัพย์ถาวร 429,795 - 2,738 4,182 436,715 - 436,715