15 August 2000

งบการเงินไตรมาสที่ 2/2543

- เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่ เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 275 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายในปี 2541 และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตรา MLR+0.5% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการบ้านสี่ทิศ - เงินกู้ยืมระยะยาว ได้แก่ เงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินวงเงิน 476 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน 12 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยมีระยะเวลาการปลอดชำระเงินต้น 3 ปี และชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ในอัตรา MLR+1% ต่อปี โดยกู้เพื่อพัฒนาโครงการหลังสวน ส่วนของหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี แสดงไว้ภายใต้หนี้สินหมุนเวียน หมายเหตุ 13 - ทุนเรือนหุ้น บริษัทใหญ่ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2541 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 945,500,000 บาท เป็น 697,375,060 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกจำหน่าย จำนวน 24,812,494 หุ้น และมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 697,375,060 บาท เป็น 3,312,991,260 บาท โดยการ ออกหุ้นใหม่เป็นหุ้นสามัญ จำนวน 261,561,620 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท รวม 2,615,616,200 บาท โดยจัดสรรหุ้น เพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้ 1. จำนวน 258,074,745 หุ้น เพื่อทำการเสนอขายทั้งหมดหรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายในรอบระยะเวลา 12 เดือน และ / หรือเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุน ประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. ในกรณีที่หุ้นเหลือจากการเสนอขายดังกล่าวให้เสนอ ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและในกรณีที่ยังคงมีเศษของหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายผู้ถือหุ้น เดิมตาม สัดส่วนอีกให้เสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทโดยในส่วนของวัน เวลา จองซื้อและ ชำระเงินค่าหุ้นให้เป็นไปตามดุลยพินิจของคณะกรรมการ 2. ส่วนที่เหลือจำนวน 3,486,875 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญ แสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัด ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนลด ทุนและเพิ่มทุนแล้ว เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน 16,904,375 บาท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2542 และจำนวน 205,000 บาท เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2542 นอกจากนี้มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ในราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ คิดเป็นราคาเสนอขาย หุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่เท่ากับมูลค่าหุ้นละ 5 บาท ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 250,000 หุ้น ในราคา หุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,250,000 บาท ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศแห่งหนึ่ง บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่ม ทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30 ล้านบาทโดยแบ่ง เป็นหุ้นสามัญ 6 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท ให้แก่นิติบุคคลต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ตามประกาศ ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 มีมติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 3,312,991,260 บาท เป็น 794,743,810 บาท โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่บริษัทยังมิได้นำออกขาย จำนวน 251,824,745 หุ้น และมีมติ ให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 794,743,810 บาท เป็น 13,294,143,810 บาท โดยการออกหุ้นใหม่ 1,249,940,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 478,840,000 หุ้น ซึ่งจะต้องออกในราคา ที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และหุ้นสามัญจำนวน 771,100,000 หุ้นซึ่ง จะต้องออกในราคาหุ้นละ 5 บาท โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้ 1.1 จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 8,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corporation ในราคา หุ้นละ 5 บาท 1.2 หุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจำนวน 1,241,940,000 หุ้น ให้ดำเนินการจัดสรรดังนี้ (1) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 478,840,000 หุ้น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นละ 10 บาท (2) ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 763,100,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท โดยให้จัดสรรหุ้นจำนวนดังกล่าวทั้งหมดคราวเดียว หรือแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อเสนอขายเป็นคราว ๆ ให้แก่ผู้ลงทุนประเภท สถาบันจำนวน 17 ประเภท และ/หรือเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจงใด ๆ ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 35 ราย ภายใน รอบระยะเวลา 12 เดือน ตามข้อ 2 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอ อนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่และการอนุญาต และ (3) ให้คณะกรรมการเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดรายละเอียดในการจัดสรรหุ้น บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วที่เสนอขายให้แก่ Starwood Thailand Corporation แล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2542 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 41,353,846 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 17 ประเภท ตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ ดังนี้ 1. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 19,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ธนาคารแห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 2. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 4,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 3. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 18,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนแห่ง หนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน 2542 4. บริษัทจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 353,846 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 5 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 216,300 หุ้น โดยแบ่ง เป็นหุ้นจำนวน 142,758 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท และหุ้นจำนวน 73,542 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 1,449,210 บาท ให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงตามประกาศ ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียน เพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2542 มีมติเสนอขายหุ้นออกใหม่จำนวน 98,786,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภทตามประกาศ ก.ล.ต. โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ดังนี้ 1. ออกหุ้นจำนวน 90,486,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6 บาท โดยแบ่งออกเป็น (1) จำนวน 38,236,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 30,588,800 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 7,647,200 หุ้น) ให้ออกและ เสนอขายในประเทศไทย และ (2) จำนวน 52,250,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 41,800,000 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 10,450,000 หุ้น) ให้ออกและ เสนอขายนอกประเทศไทย โดยภายใต้เงื่อนไขการเสนอขายหุ้นตามสัดส่วนนี้ ผู้จองซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะต้องจองซื้อหุ้นในราคา หุ้นละ 10 บาท จำนวน 2 หุ้น จึงจะมีสิทธิจองซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 8 หุ้น 2. ออกหุ้นจำนวน 8,300,000 หุ้น เพื่อเสนอขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8 บาท โดยแบ่งออกเป็น (1) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 3,320,000 หุ้น และ (2) หุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,980,000 หุ้น ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 3 บริษัทที่ ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย และนำเงินลงทุนมาจากต่างประเทศ โดยมีผู้ดูแลหรือจัดการเงินลงทุนให้ ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะ 17 ประเภท ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 มีมติให้จัดสรรหุ้นที่ออกใหม่ จำนวน 21,200,000 หุ้น (ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ออกและเสนอขายในราคาหุ้นละ 5 บาท จำนวน 16,960,000 หุ้น และหุ้นที่ออกและเสนอขายใน ราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 4,240,000 หุ้น) ให้แก่นิติบุคคล 22 ราย ซึ่งเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภท ตาม ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 1,200,000 หุ้น ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรทั้งหมดให้เสนอขาย ภายนอกประเทศไทย บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 มีมติให้ 1. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทดังต่อไปนี้ (1) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,603,351 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายเป็นการ เฉพาะเจาะจง ให้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ในราคาหุ้นละ 10 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่ม ทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 (2) บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ให้แก่ ธนาคารพาณิชย์ในประเทศแห่งหนึ่ง โดย วัน เวลา จองซื้อ และชำระเงินให้เป็นไปตามดุลยพินิจของ คณะกรรมการ บริษัทได้เพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2542 2. แก้ไขเพิ่มเติมมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกโดยอาศัยมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 และมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2542 โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 8,779,400 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่ จะซื้อหุ้นให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัดครั้งที่ 2 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว จำนวน 6,830,000 บาท เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2542 มีมติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 8,000,000หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 4/2542 และตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2542 ให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน 17 ประเภท ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุน ชำระแล้วเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2543 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2543 และ 7 กุมภาพันธ์ 2543 จำนวน 5,575,000 บาท และ 4,909,000 บาท ตามลำดับ ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 4/2542 และมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือ หุ้นครั้งที่ 1/2542 โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญเพื่อรองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามโครงการออกและเสนอขายใบ สำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทในวงจำกัดครั้งที่ 2 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2543 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 641,000 หุ้น เพื่อ รองรับการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นตามใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการและพนักงาน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2543 มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 10,000,000 หุ้น ให้แก่บริษัท ชนชัย จำกัด ในราคาหุ้นละ 10 บาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเมื่อวันที่15 มิถุนายน 2543 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 ส่วนเกินมูลค่าหุ้นแสดงสุทธิจากส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายหุ้น เพิ่มทุนแล้ว บริษัทย่อย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 และวันที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท แสนสิริ พร็อพเพอร์ตี้ พลัส จำกัด มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 7 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 70,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 10 ล้านบาท บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนที่ชำระแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 โดยจัด สรรให้บริษัทใหญ่ทั้งจำนวน หมายเหตุ 14 - สินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน 1. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของโครงการและที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทใหญ่ได้จดจำนองเป็นหลักประกันเงินกู้ จากบริษัทการเงินและธนาคาร 2. ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง,สิทธิการเช่าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ดินรอการพัฒนาบางส่วนของ บริษัทย่อยได้จดจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมจากบริษัทการเงินและธนาคาร 3. ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทย่อยบางส่วนได้จดจำนองกับบริษัทการเงินและธนาคารเพื่อใช้เป็นหลักประกันเงิน กู้ยืมของบริษัทใหญ่และกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 4. เงินฝากประจำส่วนหนึ่งได้นำไปเป็นเงินประกันหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร หมายเหตุ 15 - การผิดนัดชำระหนี้ บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีเงินเบิกเกินบัญชีธนาคารเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยซึ่งยังไม่ได้ชำระตามกำหนด ดังนี้ (หน่วย : พันบาท) เงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย 30 มิถุนายน 31 ธันวาคม 30 มิถุนายน 31 ธันวาคม 2543 2542 2543 2542 บริษัทใหญ่ 16,150 302,147 - 143,888 บริษัทย่อย 223,419 468,571 109,348 205,218 รวม 239,569 770,718 109,348 349,106 บริษัทอยู่ในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง หมายเหตุ 16 - ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น 1. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 81.02 ล้านบาท และ 79.31 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการออก หนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 6.72 ล้านบาท และ 2.69 ล้านบาทในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะ ของบริษัท ตามลำดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน 2.46 ล้านบาท และ 0.75 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทตามลำดับ และมีภาระผูกพันที่เกิดจากการออก หนังสือค้ำประกันโดยธนาคารจำนวน 4.27 ล้านบาท และ 2.43 ล้านบาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะ ของบริษัท 2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 บริษัทมีภาระผูกพันจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 185.67 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2543 3. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับบุคคล รายหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าตามสัญญา 19.82 ล้านบาท โดยที่ดินดังกล่าวมีภาระจำยอมที่ได้จดทะเบียนไว้ในบันทึก ถ้อยคำภาระจำยอมฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2533 บริษัทและผู้ขายตกลงดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แล้วในวันที่ 26 เมษายน 2543 โดยมีการเปลี่ยนตัวผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากบริษัทย่อยดังกล่าวเป็นบริษัท 4. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 บริษัทมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็น จำนวนเงินประมาณ 18.24 ล้านบาท จากการที่เจ้าหนี้ของบริษัทผิดสัญญาว่าจ้างบริษัทจึงถูกฟ้องในฐานะ จำเลยร่วม ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล บริษัทบันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวในงบการเงินเต็ม จำนวนแล้ว 5. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น จากการที่ลูกหนี้โครงการรวม 7 ราย ฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.47 ล้านบาท และ 8.97 ล้านบาทตามลำดับ และถูกฟ้องร้องทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยในฐานะจำเลยร่วมเป็นจำนวนเงินประมาณ 4.43 ล้านบาท จากการ ที่บริษัทกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เพิกถอนกลฉ้อฉล และลักทรัพย์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล บริษัทใหญ่และบริษัทย่อยบันทึกหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวไว้ในงบการเงินเต็มจำนวนแล้ว 6. บริษัทมีภาระผูกพันจากการทำสัญญาจองซื้อหุ้นและสัญญาชำระหนี้กับ Starwood Thailand Corperation ใน เดือน มีนาคม 2542โดยบริษัทดังกล่าวมีสิทธิจองซื้อหุ้นหรือกำหนดชื่อบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว จองซื้อหุ้นในบริษัทจนถึงร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกแล้วของบริษัทได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ทั้งนี้ให้เป็นไปตามข้อกำหนด เงื่อนไขตามสัญญาและข้อบังคับบริษัท โดยมีรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับสิทธิใน การจองซื้อหุ้นโดยสตาร์วูด หรือบุคคลที่สตาร์วูดกำหนดได้ดังนี้ - การจองซื้อหุ้นครั้งแรกเป็นจำนวน 8,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สอง ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือละเว้นเงื่อนไขในสัญญาและขึ้นอยู่กับสัญญาการจ่าย ชำระหนี้ ผู้จองซื้อจะซื้อหุ้นจำนวน 32.4 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยเท่ากับจำนวนของหนี้ที่ได้ชำระ ผู้จองซื้อจะชำระโดยการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สาม ผู้จองซื้อหุ้นสามารถจองซื้อหุ้นจำนวน 8 ล้านหุ้น ๆ ละ 5 บาท - การจองซื้อหุ้นครั้งที่สี่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือละเว้น ตามเงื่อนไขในสัญญาในการจองซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ ก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2545 - ในกรณีจองซื้อหุ้นดังกล่าวข้างต้นจะชำระค่าหุ้นโดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถออกหุ้นสามัญได้ในราคา 5 บาทต่อหุ้น บริษัทอาจออกหลักทรัพย์ประเภทอื่นตามที่ สตาร์วูดและบริษัทจะได้ตกลงร่วมกันให้แทน และหากสตาร์วูดและบริษัทไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับทางเลือกอื่น ในการออกหลักทรัพย์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้าข้างต้นนี้ สตาร์วูดมีสิทธิที่จะจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ใน ราคาหุ้นละ 10 บาท (หรือในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นตามที่กำหนดในข้อกำหนดในการรับหลักทรัพย์ของตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ไม่น้อยกว่าหุ้นละ 5 บาท) โดยที่เมื่อสตาร์วูดทำการจองซื้อบริษัทจะต้องชดเชยผล ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจให้แก่สตาร์วูดตามที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้เป็นจำนวนเท่ากับราคาจองซื้อที่ชำระ โดยสตาร์วูดดังกล่าวในส่วนที่เกินกว่าราคาจองซื้อหุ้นที่สตาร์วูดต้องชำระข้างต้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้า ข้างต้น ตามข้อตกลงได้กำหนดให้บริษัทจะต้องเข้าทำความตกลงกับนิติบุคคล ซึ่งมีทุนทั้งหมดเป็นของสตาร์วูดหรือกับบุคคล ที่สตาร์วูดกำหนด (บริษัทสินทรัพย์) โดยที่นับจากวันที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้น บริษัทสินทรัพย์ต้องชำระค่าบริการ บริหารสินทรัพย์รายปีให้แก่บริษัทเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 0.375 ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดของบริษัทสินทรัพย์ (ทุนและหนี้) ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคราว ๆ ทั้งนี้ โดยจะมีเงื่อนไขว่าจะต้องหักเงินจำนวน 40,000,000 บาทจาก ค่าบริการบริหารสินทรัพย์รายปีสำหรับปีแรก และถ้าสตาร์วูดได้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวน 8,000,000 หุ้นเพิ่มเติมในปีที่สอง แล้ว ก็ให้หักสำหรับปีที่สองด้วย (แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ค่าบริการจะต้องไม่น้อยกว่าศูนย์) ในส่วนของสัญญาชำระหนี้มีสาระสำคัญดังนี้ 1) สตาร์วูดเสนอที่จะรับโอนหนี้ค้างชำระที่บริษัทมีอยู่ตามสัญญากู้ยืมเงินระหว่างบริษัท หรือบริษัทย่อยของ บริษัทกับสถาบันการเงินต่างๆ 2) สตาร์วูดมีสิทธิขอให้บริษัทออกหุ้นสามัญเพื่อเสนอขายให้แก่ตน โดยให้มูลค่าหุ้นที่จองซื้อทั้งหมด ที่จ่ายโดยสตาร์วูดมีจำนวนเท่ากับจำนวนต้นเงินรวมของหนี้ที่โอน โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทจะต้องชำระ คืนหนี้ที่โอนให้แก่สตาร์วูด ภายหลังจากที่สตาร์วูดจองซื้อหุ้นดังกล่าวเสร็จสิ้น 3) เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว สตาร์วูดหรือบริษัทอาจส่งคำบอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่ง ชำระหรือรับชำระคืนหนี้ที่โอนก็ได้ ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ขอให้สตาร์วูดรับชำระคืนหนี้ที่โอนสตาร์วูดมี สิทธิที่จะเรียกให้บริษัทชำระหนี้คืนให้แก่สตาร์วูดแทนการจองซื้อหุ้นในบริษัทก็ได้ 4) สตาร์วูดตกลงว่าจะไม่ทวงถามให้บริษัทหรือบริษัทย่อยใดๆ ของบริษัทชำระหนี้ หรือดำเนินคดีใดๆ เพื่อ บังคับชำระหนี้เกี่ยวกับหนี้ที่โอน ทั้งนี้บริษัทจะต้องไม่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขของตนเองที่บริษัทได้ให้ไว้ ตามสัญญาจองซื้อหุ้นหรือสัญญาชำระหนี้ข้างต้น หมายเหตุ 17 - สัญญาเช่าระยะยาว 1. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโครงการให้เช่ากับบุคคลราย หนึ่งโดยมีอายุการเช่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 มีมูลค่าการเช่ารวม 54 ล้านบาทซึ่งกำหนดอัตราการเช่าเป็นรายปี และกำหนดการชำระค่าเช่าทุกวันที่ 10 มกราคมของทุกปี ตาม รายละเอียดดังนี้ 1. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 ปีละ 3.0 ล้านบาท 2. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ปีละ 3.6 ล้านบาท 3. ค่าเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปีละ 4.2 ล้านบาท ทางผู้ให้เช่าได้แจ้งขอเลื่อนการจดทะเบียนการเช่าไปอีก 80 วัน เนื่องจากยังไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างบางส่วนมาเป็นของผู้ให้เช่าทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินที่ให้เช่าดังกล่าวนั้นได้มีผู้ เช่ารายเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2542 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงกับผู้เช่ารายเดิม โดยบริษัทได้ ขอให้ผู้เช่ารายเดิมทำการยกเลิกสัญญาการเช่าอาคารกับผู้ให้เช่าก่อนกำหนด เพื่อให้บริษัททำการเช่าทรัพย์ และที่ดินบริเวณข้างเคียงจากผู้ให้เช่า บริษัทตกลงชดเชยประโยชน์ที่ผู้เช่ารายเดิมขาดไปจำนวนหนึ่งอันเนื่อง จากการที่ผู้เช่ารายเดิมต้องยกเลิกสัญญาเช่าอาคารก่อนกำหนดและบริษัทตกลงซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการ ประกอบกิจการให้เช่าช่วงห้องพักในทรัพย์สินที่เช่าทั้งหมดในราคา 1.07 ล้านบาท โดยกำหนดชำระค่าชดเชย บางส่วนจำนวน 0.2 ล้านบาท ในวันที่ลงในสัญญานี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2543 บริษัทได้จ่ายชำระครบถ้วนแล้ว และเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 บริษัทได้ทำสัญญาแบ่งเช่าที่ดินแล้ว 2. บริษัทได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารกับบริษัทที่เกี่ยวข้องแห่งหนึ่งเพื่อเป็นสำนักงานและเพื่อให้เช่าโดยสัญญามี กำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2537 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 โดยวันที่ทำสัญญา บริษัทได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 548.57 ล้านบาท เมื่อครบกำหนด สัญญาเช่าแล้วบริษัทต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่าโดยบริษัทจะเรียกร้องสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง จากผู้ให้เช่าไม่ได้ 3. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักพระราชวังเพื่อใช้ในการปลูกสร้างอาคารชุดเพื่อให้เช่าโครง การบ้านแสนสิริ โดยสัญญามีกำหนดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2536 โดยวันที่ทำสัญญาบริษัท ได้ชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าครั้งเดียวเป็นจำนวนเงินประมาณ 117.70 ล้านบาท หมายเหตุ 18 - การจัดประเภทรายการใหม่ รายการในงบการเงินปี 2542 บางรายการได้จัดประเภทใหม่ให้สอดคล้องกับรายการในงบการเงินปี 2543 หมายเหตุ 19 - ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 (ไม่ได้สอบทานโดยผู้สอบบัญชี) จนถึง ณ วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2543 การดำเนินงานและการรายงานทางการเงินของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับปี ค.ศ. 2000 ฝ่ายบริหารของบริษัทคาดว่าปัญหาปี ค.ศ. 2000 จะไม่มีผล กระทบที่เป็นนัยสำคัญต่อการดำเนินงานหรือการรายงานทางการเงินของบริษัทในปี 2543 หมายเหตุ 20 - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการดำเนินงานตามประเภทส่วนงานทางธุรกิจและส่วนงานทางภูมิศาสตร์ สำหรับระยะเวลา 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2543 (หน่วย : พันบาท) อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า บริหารและตกแต่ง รวม รายการตัดบัญชี รวม ที่ดินรอการพัฒนา อาคาร รายได้ รายได้จากการขายโครงการ - - - - - - รายได้สิทธิการเช่าตัดบัญชี 15,959 - - 15,959 - 15,959 รายได้ค่าบริการธุรกิจ 42,249 - 19,348 61,597 (3,666) 57,931 รายได้ค่าเช่า 18,290 1,800 - 20,090 (95) 19,995 รวม 76,498 1,800 19,348 97,646 (3,761) 93,885 ค่าใช้จ่าย ต้นทุนขายและบริการ 28,632 - 13,230 41,862 - 41,862 สิทธิการเช่าและต้นทุนการพัฒนาตัดบัญชี 10,223 - - 10,223 - 10,223 รวม 38,855 - 13,230 52,085 - 52,085 กำไรขั้นต้น 37,643 1,800 6,118 45,561 (3,761) 41,800 สินทรัพย์ถาวร 427,769 - 1,408 429,177 - 429,177 หมายเหตุ 21 - เหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบการเงิน บริษัทได้จัดตั้งบริษัท แสนสิริ โฮม เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 100% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด บริษัทได้จดทะเบียนบริษัทแล้วเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 เป็นจำนวน 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 บริษัทได้รับหนังสือแจ้งเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงิน แห่งหนึ่ง โดยมีข้อผ่อนปรนและการขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ตามสัญญาเดิม โดยสรุปที่สำคัญดังนี้ 1. ให้บริษัทโอนที่ดินของบริษัทย่อยที่ใช้เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้เงินต้นทั้งหมดจำนวน 11.18 ล้านบาท และได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระทั้งจำนวน 2. เกี่ยวกับสิทธิบริษัทในการซื้อคืนที่ดินและการยินยอมให้ธนาคารขายให้บุคคลอื่น เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 บริษัทย่อยได้รับหนังสือแจ้งเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงิน แห่งหนึ่ง โดยมีข้อผ่อนปรนและการขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ตามสัญญาเดิม โดยสรุปที่สำคัญดังนี้ 1. ให้บริษัทย่อยโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโครงการหลังสวนซอย 2 และหุ้นของบริษัทใหญ่เพื่อหนี้จำนวนรวม 160.97 ล้านบาท 2. ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ 3. เกี่ยวกับสิทธิบริษัทในการซื้อคืนสิทธิการเช่าดังกล่าวและการยินยอมให้ธนาคารขายให้บุคคลอื่น 4. ชำระด้วยเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท (ยังมีต่อ)